หลายคนคงเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาเรากดนำทางใน Google Maps แล้วระบบถึงสามารถบอกได้ว่าเราจะไปถึงที่หมายเวลาไหน Google Maps รู้ได้ไงว่าเราจะถึงกี่โมง แถมคาดการณ์ได้แม่นยำอย่างน่าทึ่ง คำตอบอยู่ที่เบื้องหลังของข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ Google ดึงมาใช้แบบเรียลไทม์ บวกกับเทคโนโลยี AI ที่ประมวลผลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ข้อมูลจากผู้ใช้งาน Google Maps ทั่วโลกคือกุญแจสำคัญ
Google Maps ไม่ได้แค่แสดงแผนที่ แต่ยังอาศัยข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงที่เปิด GPS อยู่ระหว่างการเดินทาง เช่น ความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถยนต์ ตำแหน่งที่รถเคลื่อนช้าหรือหยุดนิ่ง หากเกิดอุบัติเหตุหรือการจราจรติดขัด ผู้ใช้งานสามารถกดรายงานเหตุการณ์ได้ทันทีผ่านแอป ทั้งอุบัติเหตุ การก่อสร้าง หรือจุดอันตรายบนถนน ข้อมูลทั้งหมดนี้ช่วยให้ระบบวิเคราะห์เส้นทางได้แบบอัปเดตทันที
วิเคราะห์จากพฤติกรรมในอดีต + สถานการณ์ปัจจุบัน
Google Maps ยังดึงข้อมูลการจราจรย้อนหลังในช่วงเวลาเดียวกันมาวิเคราะห์ร่วมด้วย เช่น เส้นทางนี้วันจันทร์ช่วงเช้าอาจมีรถติดมากกว่าวันเสาร์ หรือบางพื้นที่มีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุบ่อยในช่วงเย็น เมื่อรวมกับข้อมูลแบบเรียลไทม์ จึงทำให้ระบบสามารถคาดการณ์เวลาถึง (ETA) ได้อย่างแม่นยำ พร้อมแนะนำทางลัดหากเส้นทางหลักมีปัญหา
Waze ก็ช่วยได้! เพิ่มความแม่นด้วยการรายงานเหตุการณ์
หลายคนไม่รู้ว่า Google ยังเป็นเจ้าของแอป Waze ซึ่งเป็นแอปนำทางที่เน้นการรายงานจากผู้ใช้งานแบบ crowdsourcing ข้อมูลจาก Waze จึงถูกนำมาเสริมให้ Google Maps รู้สถานการณ์แบบวินาทีต่อวินาที โดยผู้ใช้สามารถกด “+” รายงานจุดที่รถติด เขตก่อสร้าง หรืออุบัติเหตุ เพื่อให้ระบบอัปเดตแผนที่ให้กับทุกคนได้ทันที
สรุป ทุกครั้งที่คุณกดนำทางผ่าน Google Maps คือการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์จากผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก ผ่านระบบ AI ที่วิเคราะห์ข้อมูลจราจรจากอดีต ปัจจุบัน และพฤติกรรมบนถนน เพื่อคำนวณเส้นทางและเวลาที่แม่นยำที่สุด แต่ถึงอย่างไร ผู้ขับขี่ก็ควรใช้วิจารณญาณร่วมด้วย และเผื่อเวลาเดินทางไว้เสมอ เพื่อให้ถึงที่หมายปลอดภัยและตรงเวลา